B. การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วง
2.4 การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วง
2.4.1 การต่อเครื่องพิมพ์
ในปัจจุบันผู้ใช้คอมพิวเตอร์เนื่องจากจะมีเครื่องพิมพ์ต่อพ่วงด้วยแล้ว อาจมีอุปกรณ์ต่อพ่วงชนิดอื่นอยู่อีก ได้แก่สแกนเนอร์ ดังนั้นการต่อพ่วงเครื่องพิมพ์ มีได้ 2 รูปแบบคือการติดตั้งเครื่องพิมพ์เข้ากับคอมพิวเตอร์โดยตรงและต่อผ่านสแกนเนอร์
|
|
สายพรินเตอร์ แบบต่อกับพอร์ต Parallel |
การต่อสายพรินเตอร์กับพอร์ต USB |
นำสายพรินเตอร์ (Printer Cable) เสียบเข้าขั้วต่อเครื่องพิมพ์และนำปลายอีกด้านหนึ่งเสียบเข้าท้ายพอร์ต Parallel คอมพิวเตอร์ โดยเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตมักมีแหล่งจ่ายไฟเลี้ยงอยู่ต่างหาก จึงต้องขั้วต่อไฟเลี้ยงเข้าเครื่องพิมพ์ด้วย
ในกรณีที่มีเครื่องสแกนเนอร์เพิ่มขึ้นมา ทำให้เราไม่สามารถต่อเครื่องพิมพ์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะมีพอร์ต Parallel มาให้เพียง 1พอร์ต เท่านั้น การต่อต้องใช้วิธีต่อสายเคเบิ้ลของสแกนเนอร์เข้ากับคอมพิวเตอร์ที่พอร์ต Parallel ก่อนหลังจากนั้นจึงใช้สายพรินเตอร์เสียบเข้ากับ คอนเน็คเตอร์แบบ 25 Pin ที่ท้ายสแกนเนอร์อีกต่อหนึ่ง ส่วนอีกปลายหนึ่งซึ่งเป็นหัว ต่อแบบ D 36 Pin จึงนำไปต่อเข้ากับขั้วคอนเน็คเตอร์ของเครื่องพิมพ์ ในกรณีที่เป็นเครื่องพิมพ์แบบ USB ซึ่งมีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลสูงกว่าพอร์ต Parallel โดยจะมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงถึง 60 Mbps โดยมีการเชื่อมเป็นแบบ Daisy Chain คือสามารถเชื่อมต่อกันไปเป็นทอดๆได้ถึง 127 ชิ้น ซึ่งโดยปกติคอมพิวเตอร์จะมีพอร์ต USB มาให้ 2 พอร์ต แต่สามารถต่อเพิ่มได้
สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง เมื่อผู้ใช้ได้ติดตั้งอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ จะต้องทำการติดตั้งโปรแกรมสำหรับการทำงานของพรินเตอร์หรือเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานร่วมกับพรินเตอร์ได้ ในขั้นตอนนี้ คือขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรมไดร์ฟเวอร์พรินเตอร์
2.4.2 การติดตั้งใช้งานโมเด็ม
โมเด็มเป็นอุปกรณ์ที่เป็นตัวการในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่างๆ จาก เครื่องของเราเข้าสู่อิเตอร์เน็ตเข้าสายโทรศัพท์ผ่านผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต หรือ ISP (Internet Service Provider) โมเด็มมีอยู่ 2 แบบ
|
|
Internal Modem |
External Modem |
เป็นโมเด็มแบบที่เป็นการ์ดติดตั้งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้เสียบกับสล็อตบนเมนบอร์ดได้ทันที ในปัจจุบันโมเด็มที่มีจำหน่ายมักเป็นแบบ PCI และส่วน ใหญ่จะมีความเร็ว56 Kbps ตามมาตรฐาน V.9
โมเด็มรุ่นใหม่จะเป็นแบบ Plug and Play ซึ่งเมื่อติดตั้งแล้วระบบปฏิบัติ การจะรู้จักและไดรเวอร์จะติดตั้งให้เอง โดยจะทำงานผ่านพอร์ตอนุกรม (Serial) ในตัวเอง ดังนั้น ถ้าโมเด็มรุ่นเก่าจะต้องปิดการทำงานของพอร์ตอนุกรมเลขที่เดียวกันเสียก่อน โดยการกำหนดจากไบออสเครื่อง
ข้อดีของโมเด็มประเภทนี้ก็คือ มีราคาถูก ไม่เปลืองเนื้อที่บนโต๊ะทำงาน ไม่ต้องต่อสายไฟให้เกะกะ และไม่ต้องมีอะแดปเตอร์คอยต่อไฟเลี้ยง
ขั้วต่อ |
หน้าที่ |
1. Line |
สำหรับใช้เสียบสายสัญญาณโทรศัพท์ขั้วต่อสัญญาณโทรศัพท์บ้าน |
2. Phone |
สำหรับใช้เสียบสายสัญญาณโทรศัพท์เข้ากับเครื่องรับโทรศัพท์ |
3. MIC |
เสียบต่อไมโครโฟนสำหรับการใช้เสียงในอินเตอร์เน็ต |
4. SPK |
ใช้เสียบต่อลำโพงเพื่อฟังเสียง |
เป็นโมเด็มที่ใช้ติดตั้งภายนอก ซึ่งสามารถแบ่งย่อยได้อีกสองชนิดคือแบบ พอร์ต Serial และแบบพอร์ต USB (Universal serial bus) ซึ่งโมเด็มแบบนี้ จะประกอบไปด้วยกล่องพลาสติกภายในบรรจุแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส อะแดปเตอร์จ่ายไฟเลี้ยงโมเด็มและสายเคเบิ้ล ส่วนโมเด็มแบบพอร์ต USB จะไม่มีอะแดปเตอร์จ่ายไฟ เนื่องจากที่พอร์ต USB จะมีวงจรจ่ายไฟเลี้ยงให้กับสายสัญญาณอยู่แล้ว ทำให้ประหยัดพื้นที่ใช้งานมากขึ้น รวมทั้งยังมีความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลสูงกว่า แบบพอร์ต Serial อีกด้วย จึงเป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
Source: http://www.oknation.net/blog/ta2531/2009/03/04/entry-17
2.5 วิธีการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์
การพิจารณาเลือกซื้อคอมพิวเตอร์เป็นขั้นตอนสำคัญซึ่งเราควรทำความเข้าใจก่อนศึกษาเรื่องอื่นซึ่งเนื้อหาในบทนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ และการเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์บางชิ้นในกรณีที่เราต้องการซื้ออุปกรณ์มาประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เอง หรือเราต้องการอัพเกรดอุปกรณ์บางชิ้นภายในเครื่อง เช่น ต้องการซื้อฮาร์ดดิสก์ตัวใหม่ที่มีความจุมากกว่าเดิม หรือซื้อแรมมาเพิ่มให้ประมวลผลได้เร็วยิ่งขึ้น เป็นต้น
เนื้อหาในส่วนนี้จะให้รายระเอียดและขั้นตอนในการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เราได้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด และไม่ถูกหลอกในการเลือกซื้อ โดยพอสรุปขั้นตอนที่เราควรคำนึงถึงเป็นแผนภาพดังต่อไปนี้
2.5.1 ลักษณะการใช้งานของเครื่องคอมพิวเตอร์
ขั้นตอนแรกที่เราควรพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ นั่นคือต้องการนำคอมพิวเตอร์ไป
ใช้งานอะไร เป็นต้นเพื่อที่เราจะสามารถเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน
โดยเราจะแบ่งระดับผู้ใช้งานเป็น 3 ประเภท คือ
1. Basic User ได้แก่ ผู้ใช้โปรแกรมประเภท Windows 95/98/Me,Ms Office และดูหนังฟังเพลง
2. Power User ได้แก่ ผู้ใช้งานด้านกราฟฟิกและเล่นเกม เช่น โปรแกรม Photoshop ,AutoCAD
3. Graphic User ได้แก่ ผู้ที่ใช้งานด้านกราฟฟิกเป็นหลัก เช่น โปรแกรม Photoshop,AutoCAD และ 3D Studio Max
ตารางข้างล่างจะเป็นตัวอย่างในการเลือกอุปกรณ์ในการใช้งาน โดยแบ่งตามระดับผู้ใช้งานดังนี้
ระดับผู้ใช้ |
ซีพียู |
ขนาดแรม (MB) |
ความเร็วแรม |
Basic User |
Intel Celeron 400-500 MHz |
32 หรือ 64 |
66 หรือ 100 |
Power User |
Intel Pentium III 400 MHz ขึ้นไป |
64 |
100 |
Graphic User |
Intel Pentium III 600 MHz ขึ้นไป หรือ AMD k7 600 ขึ้นไป |
128 |
100 หรือ 133 |
2.5.2 สเป็คของเครื่องคอมพิวเตอร์